DEKDEEAKAT
Home
Guestbook
HELP
SHOW K ชาย
รักร่วมเพศ
ผลเสียของการออรอลเซ็กส์
สาเหตุและประเภทเกย์
สวัสดีสมาชิกเว็บทุกคน
สมาชิกใหม่
บอร์ดสำหรับสมาชิก
เว็บเพื่อนบ้าน
gallery
ข่าวประจำวัน
โรคไข้เลือดออก
โรคเอดส์
ไข้หวัดนก
 

สาเหตุและประเภทเกย์

เกย์ มีหลายสาเหตุหลายประเภท คือ

1. แต่งตัวเป็นเพศหญิง ไม่เกี่ยวเรื่องรักร่วมเพศ ไม่สนเรื่องเพศ มีความสุขกับการแต่งตัว

2. ใกล้ชิดแม่ รักแม่ จึงตัดความรู้สึกทางเพศเลยเรียก ภาระเก็บกด ชอบมีหน้าอกชอบแปลงเพศ แต่ไม่ชอบร่วมเพศ


3. ครอบครัว คือ พ่อไม่เป็นแบบอย่าง พ่อไม่อยู่บ้าน ไม่มีพ่อให้เลียนแบบ พ่อไม่สนใจ ปล่อยการเลี้ยงดูให้เป็นหน้าที่ของแม่หมด “พ่อต้องมีเวลาให้ลูก เป็นเพื่อนกับลูก”

4. โรงเรียนโดยเฉพาะอนุบาล ครูผู้หญิงร้อยละ 90 หน้าตาสวย รักเอาเด็ก เด็กมีความสุข เด็กก็เลียนแบบ มีครูผู้ชายมักพูดจาก้าวร้าว ไม่น่าเลียนแบบ
5. กลุ่มเห็นพ่อแม่ร่วมเพศตั้งแต่เด็ก

5.1 เห็นภาพแล้วแม่ร้อง คิดว่าแม่เจ็บปวด รู้สึกว่าพ่อข่มเหงแม่ สงสารแม่ จิตใต้สำนึกลึก ๆ จะไม่ยอมทำกับผู้หญิง โตขึ้นไม่มีอารมณ์เพศกับหญิง เกลียดผู้ชาย
5.2 เห็นภาพแม่ร้อง แต่นับถือพ่อ มีความรู้สึกไม่ชอบที่แม่เจ็บปวด ทว่าชอบอารมณ์เพศของพ่อแต่ไม่ชอบการทำแบบนี้ ก็ไม่มีอารมณ์เพศกับผู้หญิงมีอารมณ์เพศกับผู้ชายเท่านั้นจะแอบมองอย่างเดียวไม่ร่วมเพศด้วยจะชอบดูอวัยวะเพศผู้ชายอย่างเดียว เจาะรูดูก็มีความสุขแล้ว

5.3เห็นภาพแล้วรู้สึกว่าพ่อนั้นสุภาพแต่รักแม่มากอยากเจ็บแทนแม่ก็กลายเป็นว่าชอบให้ผู้ชายร่วมทางทวารธรรมชาติ เกย์ ทอม ดี้ เลสเบี้ยน - โฮโมเซกชวล
1. ไม่รักเด็กเล็ก
2. ขาดความรัก - อบอุ่น - ดูแลตัวเอง โดดเดี่ยว
3. CREATIVE มากกว่าชายจริงหญิงแท้
4. อดทน มุมานะ มุ่งมั่น มากกว่าชายจริงหญิงแท้
5. อารมณ์รุนแรงมาก - เก็บกด สังคมเดียดฉันท์มาก
6. ดูแล ปรนนิบัติเก่ง เอาใจให้ความอบอุ่นเก่ง

7.มีความทะเยอทะยานสูงมากเพื่อชดเชยปมด้อยการบำบัดรักษาสุขภาพจิตเพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับผู้ที่มีความบกพร่องทางจิต ควรให้การบำบัดรักษา ดังนี้

1. การบำบัดทางกาย เช่น

- วิธีช๊อตคนไข้ อาจจะด้วยการฉีดอินชูลิน หรือ ใช้กระแสไฟฟ้า

- การผ่าตัดสมอง ปกติจะใช้วิธีการนี้เมื่อรักษาด้วยวิธีการนี้เมื่อรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ไม่ได้ผล

- การใช้ยา ซึ่งมักจะใช้ระงับอาการเศร้า หรือกระตุ้นให้จิตใจแจ่มใสขึ้น

2.จิตบำบัดผู้รักษาต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเพื่อให้คนไข้ซึ่งมีปัญหาทางอารมณ์และจิตใจสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น การรักษาวิธีนี้มีควบคู่กับการรักษาทางยา การบำบัดทางจิตนี้มีทั้ง จิตบำบัดเดี่ยว จิตบำบัดหมู่ และจิตบำบัดหมู่แบบครอบครัว เป็นต้น

3. พฤติกรรมบำบัด หมายถึง การรักษาพฤติกรรมผิดปกติที่สังเกตเห็น ซึ่งต้องวางแผนปรับปรุงแก้ไขเป็นราย ๆ ไป

4. การจัดสภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้แก่

-ครอบครัวบำบัดได้แก่การบำบัดกลุ่มซึ่งประกอบด้วยผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวโดยมีจิตแพทย์หรือนักสุขวิทยาจิตเป็นสื่อกลาง ช่วยสร้างบรรยากาศและเพื่อช่วยสร้างทัศนคติ และสัมพันธภาพอันดีระหว่างบุคคลในครอบครัว

-นันทนาการบำบัดเป็นวิธีการรักษาโดยเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พบกับคนไข้อื่นๆเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่นการเล่นเกมส์การร้องรำทำเพลงเพื่อให้คนไข้ได้เรียนรู้การติดต่อกับผู้อื่นรวมทั้งเป็นการระบายความตึงเครียดของคนไข้ด้วย- อาชีวบำบัดเป็นวิธีการที่จัดให้คนไข้แสดงออกเกี่ยวกับงานศิลปะงานฝีมือต่างๆซึ่งคนไข้จะได้ระบายอารมณ์ตลอดจนความรู้สึก นึกคิดได้อย่างเต็มที่หลักการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีชีวิตจะเป็นสุขและประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนาจะต้องมีความเข้าใจ ในตนเองและเข้าใจโลกได้อย่างถ่องแท้ความทุกข์ของคนเราส่วนใหญ่มักจะเกิดจากตัวเราเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมักเกิดจากความหวังที่มากเกินไป ความไม่สมเหตุสมผลกับสิ่งที่อยู่รอบๆข้างเหล่านี้จะนำมาซึ่งความทุกข์ดังนั้นการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีนั้นมีข้อควรปฏิบัติอยู่9ประการคือ

1.ควรรู้จักศึกษาธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ไปตามขั้นตอนให้มากขึ้นซึ่งควรจะรู้ว่าวัยเด็กนั้นต้องการอะไร วัยรุ่นต้องการอะไรวัยผู้สูงอายุต้องการอะไรถ้าเรารู้ความต้องการตามขั้นตอนของชีวิตเราสามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างถูกต้อง เช่นวัยเด็กต้องการความรักความอบอุ่นวัยรุ่นต้องการความโก้ความเด่นวัยชราอาจจะต้องการความมีหน้ามีตา มีชื่อเสียงเป็นต้น

2.หัดตั้งความหวังให้เป็นในชีวิตประจำวันของเราถ้าตั้งความหวังที่สูงเกินไปหรือความหวังที่เป็นไปไม่ได้ มักจะทำให้เกิดความท้อถอยในชีวิต

3. ชีวิตของคนเราควรประกอบกันด้วย 3 หลักใหญ่ ๆ คือ
3.1 การงานประจำ
3.2 การหาความเพลิดเพลินให้กับชีวิต
3.3 การนอนหลับพักผ่อน

4.กล้าเป็นตัวของตัวเองรับความจริงกับตัวของเราเองได้เช่นตัวเราจนก็ต้องยอมรับว่าตัวเราจนและจะต้องอยู่อย่างคนจน ถ้าเป็นคนจนแล้วทำตัวเป็นคนรวย ก็เท่ากับเราสร้างปมปลอมขึ้นมา จะลำบากภายหลัง

5.หัดเป็นคนที่เป็นฝ่าย“ให้”ได้บ้างอย่าคิดจะเป็นฝ่าย“รับ”อย่างเดียวและหัด“ให้อภัย”แก่คนอื่นทั้งสองอย่างนี้จะทำให้จิตใจของเราสบายขึ้น

6. ควรจะเป็นคนอดทนได้และยอมแพ้ได้เพราะคนที่ยอมแพ้ไม่ได้จะอยู่ในสังคมไม่ได้พวกที่เคยพูดว่า “ฉันยอมไม่ได้”หรือ“ฉันทนไม่ได้”หมายถึงแพ้ไม่เป็นควรพวกนี้จะอยู่ในโลกอย่างลำบากมากความพ่ายแพ้นั้นเป็นความปกติธรรมดาของชีวิตทั่ว ๆ ไป

7.พัฒนาตนเองไม่ใช่อยู่แค่ไหนก็อยู่เพียงแค่นั้นหมายถึงหัดรู้จักพัฒนาปรับปรุงตนเองหัดสร้างอนาคตที่ดีเพื่อความมั่นคงของชีวิตต่อไป

8.เป็นคนมีอารมณ์ขันมีความจำเป็นมากในสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความเครียดเรามักจะขาดอารมณ์ขันกัน เพราะอารมณ์ขันจะทำให้มีความกระชุ่มกระชวยของชีวิต ถ้าขาดไปเสียจะทำให้ชีวิตเ***่ยวแห้ง เช่น เวลาเราโกรธหรือเครียดมากๆควรจะคิดว่าความโกรธของเราที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากการที่เขาทำไปโดยไม่รู้ไม่ได้ตั้งใจ เราควรจะมีอารมณ์ขันกันบ้าง อย่ามองทุกอย่างในชีวิตจริงจังมากเกินไป ควรมีลักษณะของการเสี่ยงได้บ้างและพร้อมที่จะเผชิญกับประสบ การณ์ใหม่ๆในชีวิบุคลิกภาพ(Personality)มาจากคำว่า“Persona”ซึ่งเป็นภาษาละตินแปลว่าหน้ากากความหมายของบุคลิกภาพบุคลิกภาพ หมายถึง “ลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลที่รวมกันแล้วทำให้บุคคลนี้แตกต่างกับบุคคลอื่น ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ อุปนิสัย นิสัยใจคอ ความสนใจเจตคติตลอดจนพฤติกรรมต่างๆที่บุคคลนั้นแสดงออกมา”ทฤษฎีบุคลิกภาพ(TheoriesofPersonality)เป็นทฤษฎีที่พยายาม อธิบายให้ทราบถึงลักษณะโดยธรรมชาติของบุคลิกภาพซึ่งนักจิตวิทยาหลายท่านได้ทำการศึกษาและมีความเห็นที่เน้นหนักแตกต่างกันไปเช่นเน้นหนักในเรื่องแรงจูงใจเรื่องอิทธิพลของสังคมและวัฒนธรรม หรือเรื่องของจิตใต้สำนึก เป็นต้น ซึ่งพอจะจัดแบ่งออกได้ ดังนี้

1. ทฤษฎีแบ่งประเภท ทฤษฎีนี้ยึดลักษณะภายนอกทางด้านพันธุกรรมเป็นเกณฑ์ซึ่งได้แก่
1.1 ทฤษฎีของเครชเมอร์ (Kretchmer) แบ่งเป็น
1.1.1 พวกที่มีรูปร่างผอมสูง (Asthenic Type) พวกนี้มักชอบเพ้อฝัน ไม่ทุกข์ร้อน และแยกตัวออกจากสังคม
1.1.2 พวกที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ย (Pyknic Type) มักชอบสนุกสนาน โกรธง่าย หายเร็ว
1.1.3 พวกร่างกายล่ำสัน สมส่วน (Atheletic Type) มักชอบผจญภัยและมีบุคลิกภาพปกติ
1.1.4 พวกที่มีร่างกายผิดปกติ เช่น สูงใหญ่มาก ไม่สมประกอบ มักมีปมด้อย สติปัญญาค่อนข้างต่ำ
1.2 ทฤษฎีของเชลดอน (Sheldon) แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
2.1 เอนโดมอร์ฟ (Endomorph) พวกรูปร่างอ้วนเตี้ยมักมีอารมณ์ร่าเริง
1.2.2 เมโซมอร์ฟ (Mesomorph) พวกรูปร่างสมส่วนมักกล้าแสดงตัวในสังคม ปรับตัวเก่ง
1.2.3 เอคโตมอร์ฟ (Ectomorph) พวกรูปร่างผอมบางจะมีอารมณ์หงุดหงิดชอบแยกตัวจากสังคม
1.3 ทฤษฎีของจุง (Jung) แบ่งตามลักษณะการแสดงออกของพฤติกรรม 2 ลักษณะ ดังนี้
1.3.1 บุคลิกภาพแบบแสดงตัว (Extrovert) ชอบเข้าสังคม เปิดเผย ร่าเริง
1.3.2 บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (Introvert) ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว
2. ทฤษฎีลักษณะนิสัย (Trait Theory) ได้แก่ทฤษฎีของออลพอร์ท (Allport) ซึ่งแบ่งลักษณะบุคคลได้เป็น 2 ลักษณะ คือลักษณะสามัญ เช่น ค่านิยม ศาสนา การเมือง และลักษณะเฉพาะบุคคล เช่น ลักษณะเด่น ลักษณะร่วม
3. ทฤษฎีพัฒนาการ (Development Theory) ซึ่งมีนักจิตวิทยาเจ้าของทฤษฎี 2 ทฤษฎี คือ

3.1 ทฤษฎีบุคลิกภาพของฟรอยด์ (Freud) เป็นทฤษฎีซึ่งวิเคราะห์จากพัฒนาการทางเพศ โดยฟรอยด์แบ่งเป็น 5 ขั้น ดังนี้
3.1.1 ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก (Oral Stage) ช่วงอายุแรกเกิด - 1 ปี
3.1.2 ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก (Anal Stage) ช่วงอายุ 1 - 3 ปี
3.1.3 ขั้นพอใจอวัยวะเพศเบื้องต้น (Phallic Stage) ช่วงอายุ 3 - 6 ปี
3.1.4 ขั้นสงบ (Latency Stage) ช่วงอายุ 6 - 13 ปี

3.1.5ขั้นสมบูรณ์(GenitalStage)ช่วงวัยรุ่นOralStageพึงพอใจจากการใช้ปากดูดกลืนกัดแทะฯลฯหากได้มากหรือน้อยไปโตขึ้นจะติด ยึดความพอใจทางปากคอยพึ่งคนอื่นไม่เป็นตัวของตัวเองก้าวร้าวทางวาจามองโลกแง่ดีหรือร้ายจนเกินไปปากเป็นศูนย์รวมความรู้สึกที่พัฒนาเป็นบุคลิกภาพ

1. เลี้ยงแบบไม่เอาใจใส่คับข้องใจสูง กลายเป็นคนเงียบเฉย ไม่ค่อยพูด ท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต มองโลกในแง่ร้าย

2. เลี้ยงแบบทะนุถนอมเอาแต่ใจ พูดมาก ก้าวร้าว ไม่เข้าใจคนอื่น โรคจิตคลุ้มคลั่ง (แมเนีย) ซาดิสต์มาโซดิสต์ ซึมเศร้า พูดมาก พูดน้อย ติดบุหรี่ เหล้า กินจุ กินน้อย หรือต้องขบเคี้ยวเป็นประจำAnal Stage ใช้ทวารหนักพึงพอใจสุขใจเกี่ยวข้องกับอวัยวะขับถ่าย หากเข้มงวดมาก หรือน้อยเกินไป ก่อให้เกิดการวิตกกังวล ดื้อดึง ต้องการอำนาจ ใจแคบ มีอคติ ชอบทำลายเผด็จการการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดเด็กเกิน คับข้องใจกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ เจ้าระเบียบ เครียด ระแวงเลี้ยงดูแบบปล่อย เด็กก้าวร้าว หลงตัวเอง ไม่ยอมคน ผูกพยาบาทPhallic Stage ขั้นอวัยวะเพศสุขใจ จากกิจกรรมเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เริ่มถือตนตามแบบบิดา หรือมารดา เริ่มเรียนรู้ความแตกต่างทางเพศ มีความรักและสนใจทางเพศอย่างเลือนลาง ต้องการความรักจากบิดามารดาที่เป็นเพศตรงข้าม หากถือตนตามแบบบิดามารดาที่เป็นเพศเดียวกันไม่ได้ จะเกิดความขัดแย้ง วิตกกังวล เกิดความสับสนทางเพศ จะนำสู่บุคลิกภาพหลงตน วางท่าหรูหรา คุยโว ฯลฯเป็นระยะที่สำคัญที่สุด หากเด็กเกิดความคับข้องใจและความขัดแย้งที่ต้องเก็บกดจะกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่น ความคิดสับสน ลังเล ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร และอาจมีปัญหาทางเพศ ประเภทต่าง ๆ ได้Latency Stage ขั้นหลบซ่อน - สงบ ลดความสำคัญและความสนใจเรื่องเพศลงหันไปผูกสัมพันธ์เพศเดียวกัน ไม่สนใจเพศตรงข้าม พอใจเล่นทำกิจกรรมกับเพศเดียวกันGenital Stage ขั้นสนใจและพึงพอใจทางเพศ สนใจเพศตรงข้าม บุคคลที่มีสุขภาพจิตดีคือ มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ

1. รักได้อย่างแท้จริง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เชื่อถือ ไว้วางใจ สุขใจในคนรัก รวมถึงเรื่องเพศด้วย
2. ทำงานได้เต็มศักยภาพ ชีวิตมีคุณค่า มีความสำคัญ มีความหมายSigmund Freud เจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (PsychoanalyticTheory) ได้อธิบายจิตใจมนุษย์ไว้ 3 ประการ คือ

1. จิตสำนึก (The Conscious Mind) ได้แก่ สติสัมปชัญญะทำไปโดยรู้สึกตัวและมีสติ
2.จิตใต้สำนึก(TheSubconsciousMind)อยู่ระหว่างปลายเขตจิตสำนึกต่อกับจิตใต้สำนึกบันทึกเรื่องราวหรือประสบการณ์ หรือกิจกรรมต่างๆที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกหากอยู่ในสภาวะเหมาะสมจะปรากฏในจิตสำนึกอีกครั้งนอกเหนือสำนึกอาจระลึกได้จากความทรงจำ
3. จิตไร้สำนึก (The Unconscious
Mind) บันทึกรวมกระบวนความคิด ความรู้สึก ความจำ ความต้องการ สำหรับพฤติกรรมที่อยู่ในจิตใต้สำนึกกระทำหรือแสดงออกโดยไม่รู้ตัวนอกจากภายใต้อิทธิพลของยาบางชนิด หรือถูกสะกดจิต

การเลี้ยงดูที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต มี 3 ประการ คือ

1. การเลี้ยงดูที่ก่อให้เกิดความรู้สึกคับข้องใจเกินไป
2. การเลี้ยงดูที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสบายจนเกินไป ใครขัดใจไม่ได้
3. การเลี้ยงดูที่ก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งจากการถูกอบรมสั่งสองอย่างไม่เสมอต้นเสมอปลาย

 

วันพุธ ที่ 6 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 19285 visitors0
 
DEKDEEAKAT
 
This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free